1. ต้นปี 2563...
เราทุกคนอยู่บ้าน จากเดิมที่เคยออกไปทำงาน ไปโรงเรียน เที่ยวเล่น ดูหนัง ใช้ชีวิต แต่ด้วยสถานการณ์โรคระบาด ทำให้เราทุกคนต้องอยู่บ้าน เด็กๆ ที่เคยไปโรงเรียน เคยออกไปเล่น เข้าคลาสกิจกรรมเสริมพัฒนาการ ต้องหยุดชะงักไปทั้งหมด จากนี้ พวกเขาจะใช้เวลาทั้งหมดอยู่ที่บ้าน โดยมีพ่อแม่และผู้ใหญ่ในบ้าน เป็นผู้อำนวยความสะดวกให้พวกเขาได้เติบโต
เป็นความรู้สึกร่วมกันของพ่อแม่ทั้งโลกนั่นแหละ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่แม้ว่าลูกยังไม่อยู่ในวัยเข้าโรงเรียนในตอนนั้น และก็เลี้ยงลูกอยู่บ้านมาตลอด แต่การ “อยู่บ้าน” กับการ “ติดอยู่บ้าน” มันไม่เหมือนกัน ช่วงนั้นจึงความคิดจึงทำงานหมกมุ่น และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า
ลูกของเราจะอยู่บ้านยังไง เขาจะเรียนรู้แบบไหน และอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้....
และเป็นตอนนั้นเอง ที่พบว่า มอนเตสซอรีมีคำตอบให้
2. ในท่ามกลางความฮิตขึ้นมาของกระแสคำว่า “มอนเตสซอรี” ในช่วงสองสามปีนี้ ที่เมื่อเอาไปแปะไว้ตรงไหนก็ดูเหมือนว่าจะทำให้ซื้อง่ายขายคล่องไปเสียหมด ทั้งหนังสือมอนเตสซอรี (อ้าว ก็เล่มนี้ด้วยหนิ /ฮา) ของเล่นมอนเตสซอรี หลักสูตรมอนเตสซอรี เฟอร์นิเจอร์มอนเตสซอรี ฯลฯ
คำว่ามอนเตสซอรีเลยดูจะกลายเป็นคำแห่งยุคสมัย เป็นสิ่งที่ทำให้ชาวพ่อแม่เกิดอาการ FOMO (Fear of missing out) กับมันได้ เราจึงครอบครองทุกอย่างที่แปะฉลากว่ามอนเตสซอรีเพื่อที่จะสบายใจ หาความรู้เกี่ยวกับมันให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ดูเหมือนว่าทำเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ
เคยได้คุยกับคุณครูปฐมวัยผู้มากประสบการณ์ท่านหนึ่ง บอกว่า “แม่เป็นได้ทั้งหมอ ทั้งครู แล้วก็เป็นแม่ เป็นหมอเมื่อลูกไม่สบาย เป็นครูเมื่อลูกต้องการคนชี้ทาง แต่ถ้าเป็นทั้งสองอย่างนั้นมันเหนื่อยเกินไป ก็กลับมาเป็นแค่แม่ก็พอ”
มันจึงไม่เป็นไรเลยถ้าคนเป็นพ่อแม่จะไม่เข้าใจทั้งหมด ไม่รู้ทุกเรื่อง ไม่สามารถจัดเตรียมกิจกรรมและอุปกรณ์ได้เหมือนห้องเรียนมอนเตสซอรี และทางโรงเรียนมอนเตสซอรี หรือคุณครูที่จบ AMI มา ก็คงดีใจด้วยซ้ำ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นคุณครูก็คงโดนแย่งงาน (ฮา)
แต่สิ่งที่แม่เป็นได้ และทำได้ดีที่สุด ในแบบที่ใครก็มาทำแทนให้ไม่ได้อีกแล้ว นั่นก็คือการเป็นแม่ เป็นบ้านที่อบอุ่นให้หัวใจของลูก เป็นคนที่พร้อมเข้าใจ ยิ้ม หัวเราะ ทะเลาะกันบ้าง แต่สุดท้ายเราก็จะกลับมาโอบกอดกันด้วยความรัก
และยิ่งเมื่อได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับมอนเตสซอรีดีๆ หลายเล่ม (รวมถึงเล่มนี้) เราจะยิ่งพบว่า หัวใจของมอนเตสซอรีที่อยู่เบื้องหลังการค้นพบทฤษฎีที่แสนละเอียดอ่อนลึกซึ้งและสลับซับซ้อน เริ่มต้นจากสิ่งเรียบง่ายและแสนธรรมดา ก็คือวิถีชีวิตที่เราใช้ร่วมกันกับลูก คือความไว้เนื้อเชื่อใจ โอกาสที่เรามอบให้ และการเฝ้ามองด้วยใจเปิดกว้างและมีเมตตาอยู่เสมอ
บนกองของเล่นแนวมอนเตสฯ สรรพความรู้ และกิจกรรมมากมาย ที่ทำให้แม่เครียดว่าเราจะตกขบวนอะไรไปอีกหรือเปล่า เมื่อได้ลงนั่งอ่านจนเห็นถึงหัวใจ เราจะรู้สึกเหมือนว่ามาเรีย มอนเตสซอรีกำลังเชื้อเชิญเราไปนั่งลงที่โต๊ะสีขาวกลางสนามหญ้า ชงชาและรินให้หนึ่งแก้ว ก่อนจะบอกเราทุกคนว่า นั่งลงนะ ใจเย็นก่อน วางของเล่นและกิจกรรมแนวมอนเตสซอรีที่เซฟมาจากพินเทอเรสลงไปให้หมด หายใจเข้าออกลึกๆ แล้วมาเฝ้ามองลูกของเราไปด้วยกัน ด้วยหัวใจของแม่ แม่ธรรมดานี่แหละ ไม่ใช่ครูหรือหมอที่ไหน
3. ตัดภาพกลับมาที่การล็อคดาวน์ครั้งนั้น เราได้คำตอบให้กับตัวเองว่า เมื่อลูกอยู่บ้าน ก็เป็นบ้านให้กับลูกเถอะ ด้วยวัยใกล้สามขวบของเขาตอนนี้ คงไม่มีโอกาสไหนที่เขาจะได้เข้าใกล้การเห็นภาพวิถีชีวิตในบ้านได้ชัดเจนเท่าครั้งนี้อีกแล้ว และเช่นกัน กับทางพ่อแม่ ก็คงไม่มีช่วงไหนที่เราจะได้อยู่ใกล้ชิดและได้เห็นการเติบโตของทุกในทุกวันอย่างแสนละเอียดแบบนี้แล้วเหมือนกัน
หัวใจของมอนเตสซอรีบอกว่า เชื่อเถอะว่าเด็กๆ มีพลังการเรียนรู้ไหลเวียนในกาย พวกเขาเรียนรู้อยู่เสมอ เป็นเหมือนฟองน้ำที่กำลังซึมซับทุกประสบการณ์เข้าไปเป็นคลังภายใน การเรียนรู้เกิดขึ้นในแบบที่ทั้งเขาและเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
หัวใจของมอนเตสซอรียังบอกต่อไปอีกว่า เช่นนั้น สิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่มอบให้ได้ จึงคือ โอกาสที่เปิดกว้างให้เด็กๆ ได้พบเจอประสบการณ์ที่มีคุณค่า เราเตรียมสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ให้เขาได้ มอบจังหวะชีวิตที่สงบและคาดเดาได้ให้เด็กๆ ได้รู้สึกมั่นคงในใจ แล้วที่เหลือก็จงเชื่อใจ ปล่อยให้เขาเรียนรู้
สิ่งที่ตามมา คือมอนเตสซอรีทำให้เรารู้ว่า เมื่อเราเชื่อมั่นในพลังของความอยากเรียนรู้ของลูกแล้ว เราอาจไม่ต้องพยายามมากเกินไปก็ได้ เราไม่ต้องคอยจัดหากิจกรรมสุดพิเศษแสนตื่นเต้น สรรหาของเล่นที่ตอบโจทย์พัฒนาการทุกด้าน ไม่ต้องคอยสับบัตรภาพภาษาอังกฤษกับลูก แม้วันนั้นจะกลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้าจากการประชุมทั้งวันและอยากจะนอนเต็มที กลับมาเป็นแม่ ที่ดูแลให้ตัวเราเองยังไหว มอบความเชื่อมั่นไว้ใจ และคอยอยู่ข้างๆ ลูก เพื่อเฝ้ามอง
การเฝ้ามองคือสิ่งสำคัญสุดท้ายที่เราคิดว่ามอนเตสซอรีได้มอบบทเรียนยิ่งใหญ่เอาไว้ให้ มันฟังดูเรียบง่าย แต่ทำได้ไม่ง่ายอย่างนั้น สายตาของเราต้องละเอียดอ่อนมากพอเพื่อจะมองเห็นการค้นพบเพื่อเรียนรู้ของลูก ใจของเราต้องนิ่งพอที่จะไม่เข้าไปสอนหรือแทรกเหมือนที่เคยชอบทำ หูของเราต้องเงียบพอที่จะรับฟังสิ่งที่ลูกเล่าโดยที่ยังไม่รีบเข้าไปตัดสิน ปากของเราต้องเม้มไว้พอที่จะไม่รีบสอนหรือเตือน ทั้งหมดนั้นเป็นศิลปะ ที่ไม่มีถูกผิด ไม่มีมากน้อย และเป็นสิ่งที่เราต้องใช้เวลาเพื่อฝึกฝน – อาจจะทั้งชีวิต
4. ความมอนเตสซอรีในหนังสือเล่มนี้จึงสื่อสารโดยตรงกับพ่อแม่ เพื่อชวนกันขยับตัวขยับใจ เปลี่ยนสายตาในการเฝ้ามองเพื่อเข้าใจลูกในมุมใหม่ มุมที่เชื่อและเคารพว่าลูกก็คือมนุษย์ที่เพิ่งมีอายุไม่กี่ปีบนโลก และขยันที่จะทำความรู้จักโลกใบนี้มากเหลือเกิน เป็นเราเสียอีก ที่ได้ให้โอกาสกับเขามากพอแล้วไหม แล้วเราเองกำลังเหนื่อยอยู่หรือเปล่า พักและวางความคาดหวังลงบ้างก็ได้ ชวนลูกมามีวิถีชีวิตที่เป็นธรรมชาติไปด้วยกัน
นั่งลงบ้างเพื่อเฝ้ามองดูลูก มองด้วยสายตาที่ละเอียดลออและเปี่ยมด้วยเมตตา เฝ้ามองเพื่อค้นพบร่องรอยการเรียนรู้ ที่เราไม่ต้องเอามาสรุปหรือถอดบทเรียนอะไร แต่เราเฝ้ามองเพื่อเชื่อ เชื่อว่าในทุกการขยับร่างกาย ในทุกวินาทีที่ลูกจะทำอะไรก็ตาม เขากำลังเรียนรู้โลก กำลังค้นพบความหมายของการมีชีวิต และมองเห็นคุณค่าในตัวเอง ผ่านโอกาสที่แม่มอบให้เขาได้ลงมือทำ
เติมชาอีกซักแก้วไหมคะ…