0

คำนิยม
2022-06-13 13:03:36
หนังสือ Sex Education for Parents - คำนิยมโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ -
เรื่องเพศศึกษาเป็นหัวข้อที่มีคำถามเสมอมา คำถามแรกคือ ปล่อยไปตามธรรมชาติมิได้หรือ เพราะเมื่อหันไปดูรอบๆ เราจะพบว่ามีสตรีจำนวนมากที่เข้าใจเรื่องประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือความรู้สึกทา...
Share

เรื่องเพศศึกษาเป็นหัวข้อที่มีคำถามเสมอมา คำถามแรกคือ ปล่อยไปตามธรรมชาติมิได้หรือ เพราะเมื่อหันไปดูรอบๆ เราจะพบว่ามีสตรีจำนวนมากที่เข้าใจเรื่องประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือความรู้สึกทางเพศของสตรีได้ด้วยตนเอง และมีผู้ชายจำนวนมากกว่ามากที่เข้าใจเรื่องฝันเปียก โรคติดต่อทางเพศ และวิธีให้ความสุขตนเองหรือเพศตรงข้ามได้ด้วยตนเองเช่นกัน โดยที่ทั้งหมดนี้มีเสียงพูดให้ได้ยินเสมอๆ ว่าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติมิได้หรือ ไม่เห็นจะต้องพูดกับลูกๆ ที่ตรงไหนเลย



คำถามนี้จะพาไปติดที่อีกคำถามหนึ่งคือ รู้ได้อย่างไรว่าเพราะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาตินี่แหละจึงมีเยาวชนจำนวนหนึ่งตัดสินใจผิดพลาด ไปจนถึงชีวิตสมรสที่มีปัญหาทั้งที่ไม่ควรจะมี สมมติว่าคุณพ่อคุณแม่รู้เพศศึกษา และรู้วิธีพูดกับลูกชายหรือลูกสาว อนาคตของลูกชายลูกสาวทั้งช่วงที่เป็นวัยรุ่นอยากรู้อยากเห็นและช่วงที่เป็นผู้ใหญ่วัยแต่งงานจะดีกว่าไม่พูดหรือเปล่า


 เวลาพูดถึงเรื่องเพศศึกษาหรือตำราเพศศึกษาสักเล่ม ยังมีอีกคำถามที่คนไม่ค่อยได้ถาม ก็คือ เขียนมาให้ใครอ่าน ให้พ่อแม่อ่านเพื่อเตรียมตัวสอนลูก ให้เด็กๆ อ่าน ให้เด็กหนุ่มเด็กสาวอ่าน หรือว่าที่จริงเขียนๆ ขึ้นมาเถอะ รับรองได้ว่าทุกคนอยากอ่านและอ่านได้อ่านดีมีประโยชน์แน่ๆ แม้ว่าจะต้องแอบอ่านก็ตามที ต่อคำถามนี้ผมมีความเห็นส่วนตัวว่าควรมีเล่มที่วางไว้ให้เด็กๆ อ่านได้น่าจะดีมาก เด็กชายเมื่อห้าหกสิบปีก่อนไม่รู้เรื่องฝันเปียก คำบอกเล่าที่ได้ยินคือเป็นของไม่ดี ไม่สะอาด หากเกิดขึ้นบ่อยจะเป็นอันตราย และเป็นของน่าอับอาย จนกระทั่งวันหนึ่งตัวเองได้อ่านบทความเพศศึกษาหกตอนจบในนิตยสารชัยพฤกษ์วิทยาศาสตร์เมื่อประมาณปี พ.ศ.2510 จึงปลดล็อกทุกเรื่องในใจออกได้อย่างง่ายดายโดยที่ไม่ต้องพูดหรือถามเรื่องนี้กับพ่อแม่ให้ลำบากใจเลย


อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อห้าหกสิบปีก่อนที่ซึ่งอย่าว่าแต่โลกไม่มีกูเกิล แม้แต่หนังสือก็ยังหาได้ยากในบ้านเรา แตกต่างจากสมัยนี้ที่ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกูเกิลรวมทั้งมีเว็บพอร์นมากมายหลายรูปแบบและหลายระดับ การณ์กลับกลายเป็นว่าเราเริ่มกังวลว่าเด็กๆ ของเราจะพบข้อมูลมากเกินไป บางข้อมูลไม่ตรงประเด็นและบางข้อมูลอาจเป็นอันตราย ดังนั้นอาจจะถึงเวลาที่เราจะมาพูดกันเรื่องเพศศึกษาอย่างจริงจังเสียที



คำถามถัดมาคือ พูดอย่างไร เป็นวิทยาศาสตร์มากๆ ดี หรือเป็นสังคมศาสตร์มากๆ ดี หรือทั้งสองอย่าง เชื่อว่าวันนี้มีหนังสือเพศศึกษาในท้องตลาดอยู่แล้วพอสมควร ที่เป็นหนังสือภาพสำหรับเด็กก็มีออกมาเรื่อยๆ แล้ว ที่ท่านถืออยู่นี้เป็นการ์ตูน มิหนำซ้ำเป็นการ์ตูนที่เขียนให้พ่อแม่อ่าน เรื่องจึงง่ายที่ผู้เขียนจะผนวกทั้งส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนแล้วกลบด้วยอารมณ์ขันเป็นระยะๆ ทำให้เราซึมซับข้อมูลต่างๆ ได้ง่ายขึ้นโดยไม่รู้ตัว



นี่เป็นหนังสือให้พ่อแม่อ่าน แต่ไม่ผิดกติกาถ้าท่านจะลืมทิ้งไว้กลางบ้านให้เด็กโตอ่าน ดีกว่าปล่อยเขาหาอ่านเอาเองจากอินเทอร์เน็ตหรือตามเพื่อนเข้าเว็บพอร์นแน่ๆ

 “ญี่ปุ่นมีการผลิตสื่อลามกถึงประมาณ 60% ของโลก” อันนี้ผมก็เพิ่งจะรู้ “แต่ทางโรงเรียนไม่มีการสอนเพศศึกษาอย่างเพียงพอ” คือที่เราจะได้จากบทนำซึ่งเป็นเรื่องนึกไม่ถึง   เมื่ออ่านไปจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เรานึกไม่ถึงอีกบางเรื่อง เช่น การอาบน้ำระหว่างพ่อและลูกสาว เป็นต้น ดังนั้นมีบางเรื่องที่นักอ่านบ้านเราควรระลึกว่าเป็นเรื่องทั่วไปของวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งหนังสือเล่มนี้มิได้มองข้ามและยินดีพูดถึง พร้อมทั้งมีข้อแนะนำอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา คำถามเรื่องอาบน้ำกับลูกนี้เป็นคำถามที่ผมได้รับส่วนตัวมากกว่าที่ตนเองจะคาดคิดมาตลอด ซึ่งผมมักตอบด้วยกรอบอ้างอิงของฟรอยด์และวัฒนธรรม ลองอ่านคำแนะนำของหนังสือเล่มนี้ดูครับ 


เวลาพูดเรื่องเพศกับเด็กๆ ปัญหาหนึ่งที่พบเสมอคือเรามักผูกเรื่องเพศเอาไว้กับเรื่องไม่ดี เช่น โรคติดต่อ ท้องไม่พร้อม การทำแท้ง หากเป็นสังคมบ้านเราจะผูกกับเรื่องสำส่อนและบาปบุญคุณโทษเอาไว้ด้วย ทำให้อะไรต่อมิอะไรชวนหลีกหนีและหลบซ่อนไปเสียทั้งสิ้น 



หนังสือเล่มนี้จะเอาทุกเรื่องขึ้นมาวางบนหน้ากระดาษให้พ่อแม่รับทราบกันใหม่ และสอนวิธีเปลี่ยนทัศนคติด้านลบหรือคำพูดด้านลบเป็นด้านบวกให้ แน่นอนว่าเมื่ออ่านไปครึ่งเล่มหลายท่านจะหยุดถามตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติมิได้หรือ แล้วก็จะพบคำถามที่สองอีก รู้ได้อย่างไรว่าเพราะปล่อยไปตามธรรมชาตินี่แหละเรื่องมันถึงยุ่งได้ขนาดนี้ ตามด้วยคำถามที่สามว่า โลกไอทีที่ข้อมูลมากมายรอลูกเราอยู่ในอินเทอร์เน็ตใช่ข้อมูลธรรมชาติหรือเปล่า

 

 ลองดูบางตัวอย่างนะครับ เอาเรื่องง่ายที่สุดเลยและแทบจะเป็นปฐมบทของหนังสือเพศศึกษาทุกเล่มรวมทั้งที่เป็นหนังสือภาพสำหรับเด็กเล็กด้วยซ้ำคือเรื่องพื้นที่ส่วนตัว คุณพ่อคุณแม่ลองหยุดถามตัวเองตรงนี้สักนิดก่อนเปิดอ่านว่าท่านคิดว่าลูกเล็กของเรา ว่ากันตั้งแต่ทารกเลยก็ได้ มีพื้นที่ส่วนตัวตรงไหนบ้าง เฉลยนะครับ ปาก หน้าอก อวัยวะเพศ และก้น เป็นความจริงที่ว่าพ่อแม่จำนวนมากไม่ค่อยรู้สึกว่าปากและก้นเป็นพื้นที่ส่วนตัว เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวได้อ่านการ์ตูนเล่มนี้ขำไปอีกหลายช่อง


ป้าข้างบ้านชอบให้ขนมลูกชายแล้วจุ๊บที ครูผู้ชายปลอบใจนักเรียนหญิงชั้นประถมหรือแม้กระทั่งอนุบาลด้วยการโอบหลัง อะไรแบบนี้คุณพ่อคุณแม่จะยินยอมได้มากเท่าไร ปรากฏว่าแค่คำถามนี้ก็ผิดแล้ว เราเคยเอะใจไหมว่าเด็กชายวัยอนุบาลกี่คนที่ไม่ชอบพฤติกรรมแบบคุณป้าเป็นแล้ว และเด็กหญิงชั้นประถมกี่คนที่ไม่ชอบพฤติกรรมของคุณครูเป็นแล้ว ผมมีคำถามเพิ่มเติมด้วยว่า ถ้าป้าคนนี้เป็นป้าแท้ๆ และถ้าครูผู้ชายคนนี้มีศักดิ์เป็นลุงแท้ๆ คุณพ่อคุณแม่คิดอย่างไรและเด็กๆ ของเราคิดอย่างไร เคยมีใครถามพวกเขาหรือเปล่า


หนังสือเล่มนี้ตีวงแคบเข้ามาเรื่อยๆ จากเรื่องที่ควรจะดูง่ายๆ อย่างช้าๆ แวะที่กายวิภาคของระบบสืบพันธุ์ก่อนเช่นเดียวกับหนังสือเพศศึกษาส่วนใหญ่ หลายท่านอาจจะใจร้อนอยากรู้ว่าจะสอนลูกเรื่องเพศสัมพันธ์และความรู้สึกสุขสมเรื่องเพศในชายหญิงอย่างไรเสียมากกว่า ถ้าใจร้อนขนาดนั้นก็เริ่มต้นที่กลางเล่มได้เลยครับ เมื่อลูกดูเว็บโป๊ เมื่อลูกเล่นอวัยวะเพศตนเอง แล้วก็มาถึงเรื่องสำคัญคิดว่าลูกควรมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่อไร



มีคำหนึ่งในหนังสือนี้ที่ผมชอบมากและขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟังในหน้าคำนิยมนี้ การมีเพศสัมพันธ์มีความหมายหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มิค่อยได้นึกถึงนั่นคือ การที่เรามอบพื้นที่ส่วนตัวของเราให้แก่ใครบางคน คิดว่าใครบางคนนั้นควรเป็นใคร 


หนังสือจะสมบูรณ์มิได้ถ้าไม่พูดเรื่องเพศหลากหลายในตอนท้ายด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดและเลือกใช้คำศัพท์ที่เข้าใจง่าย คือเรื่องรสนิยมทางเพศและบทบาททางเพศ   เรากลับมาที่คำถามเดิมอีกครั้งหนึ่ง เราปล่อยเป็นเรื่องธรรมชาติไม่ดีกว่าหรือ ผมเติบโตมากับสังคมและยุคสมัยที่คิดเช่นนี้และบางครั้งแม้แต่ตัวเองก็จะยังคิดเช่นนี้ ซึ่งไม่น่าแปลกใจอะไรเพราะกรอบของเนื้อสมองของเราเติบโตมาได้เท่านี้จากสภาพแวดล้อมเช่นนั้น แต่ประสบการณ์พบว่าบ่อยครั้งที่ได้เห็นนักศึกษาตั้งครรภ์เดินไหว้พระปิดทองอยู่ตามวัดโดยมีชายหนุ่มนักศึกษาเดินล้วงกระเป๋าตามอย่างเซื่องซึม ช้าๆ อดนึกแทนชายหนุ่มมิได้ว่าบัดนี้ความรักและความสุขสมผ่านไปแล้ว ที่อยู่ตรงหน้าคือภาระและความรับผิดชอบ จะทำกันได้หรือเปล่า 



มีอีกหลายครั้งที่เห็นเด็กมัธยมชายหญิงในชุดนักเรียนเดินเกี่ยวก้อยกันอย่างมีความสุข ก็อดห่วงมิได้ตามประสาคนที่ผ่านโลกมามากว่า พวกเขาจะเข้าเรียนไหม จะช่วยกันติวไหม แล้วสุดท้ายจะมีเพศสัมพันธ์กันหรือเปล่า  ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป วัยของผมเองที่เปลี่ยนไป ทำให้มิอาจมั่นใจได้อีกต่อไปว่าเรื่องเพศศึกษาควรปล่อยเป็นเรื่องธรรมชาติ



คำนิยมโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์